วัดพระศรีรัตนมหาธาตุมหาวรวิหาร จ.พิษณุโลก
Wat Phra Sri Rattana Mahathat (Wat Yai) Phitsanulok
เมื่อวานเล่าค้างกันถึงวันที่หยุดงานแว้บ ๆ...ไปไหว้พระทำบุญให้อุ่นใจอ่ะนะคะ วันนี้ก็เลยขอมาพาเที่ยว วัดใหญ่ หรือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุมหาวรวิหาร กันต่อ แต่ก่อนที่จะไปเดินเที่ยวชมวัด และไหว้พระองค์อื่น ๆ ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ เราก็ต้องเข้าโบถส์ไปกราบพระพุทธชินราช พระคู่บ้านคู่เมืองของชาวพิษณุโลกและชาวไทยกันก่อนเป็นอันดับแรกอ่ะนะคะ..มาค่ะ..เข้าไปกราบพระขอพรด้วยกันเถอะ....
พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณค่ะ มีตำนาน พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. 2409 โดยอาศัยหลักฐานจากพงศาวดารเหนือ แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์โบราณคดียุติได้ดังนี้
ตามตำนานกล่าวเอาไว้ว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏกหรือพระมหาธรรมราชา (พญาลิไท) กษัตริย์องค์ที่ 4 ในพระราชวงศ์พระร่วง สมัยกรุงสุโขทัย เป็นผู้สร้างพระพุทธชินราช เมื่อราว พ.ศ. 1900 ค่ะ โดยทรงโปรดให้ช่างสวรรคโลก ช่างเชียงแสน และช่างหริภุญไชย สมทบกับช่างกรุงศรีสัชนาลัย ช่วยกันหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 3 องค์ ได้แก่ พระศรีศาสดา พระพุทธชินราช และพระพุทธชินสีห์ จวบจนถึงวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะจุลศักราช 717 ราว พ.ศ. 1898 ได้มงคลฤกษ์ กระทำพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์
เมื่อเททองหล่อเสร็จแล้ว และทำการแกะพิมพ์ออกปรากฏว่า พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา องค์พระสมบูรณ์สวยงามดี ส่วนพระพุทธชินราชนั้นได้หล่อถึง 3 ครั้งก็ไม่เสร็จเป็นองค์พระได้ กล่าวคือทองแล่นไม่ติดเต็มองค์น่ะนะคะ
พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏกจึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงเอาบุญบารมีของพระองค์เป็นที่ตั้ง ครั้งนั้นจึงร้อนถึงอาสน์พระอินทร์เจ้าจึงนฤมิตเป็นตาปะขาวลงมาช่วยทำรูปพระ คุมพิมพ์ปั้นเบ้า ด้วยอานุภาพพระอินทราธิราชเจ้าทองก็แล่นรอบคอบบริบูรณ์ทุกประการหาที่ติมิได้ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏกทรงปิติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง จึงตรัสให้หา "ตาปะขาว" ผู้นั้น แต่ตาปะขาวได้หายตัวไปแล้ว หมู่บ้านและวัดที่ตาปะขาวหายไปนั้นได้ชื่อว่า บ้านตาปะขาวหายและวัดตาปะขาวหายต่อมาจนถึงทุกวันนี้ (มีโอกาสจะพาไปเที่ยวชม วัดตาปะขาวหาย นะคะ)
และจากวัดตาปะขาวหายขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ 800 เมตร ได้ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับการหายตัวไปของตาปะขาว เล่ากันว่ามีผู้พบเห็นว่าท้องฟ้าเปิดเป็นช่องขึ้นไป ชาวบ้านเห็นเป็นที่อัศจรรย์จึงได้สร้างศาลาขึ้นไว้ ณ พื้นดินเบื่องล่างไว้เป็นที่ระลึก เรียกว่า "ศาลาช่อฟ้า" ตราบจนทุกวันนี้
ออกมาจากพระวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราชแล้ว ยังไม่ต้องเลี้ยวไปไหนนะค้า..อิชั้นจะพาไปไหว้ "พระเหลือ" ต่อ
ออกมาจากพระวิหารหลวงพ่อพระพุทธชินราชแล้ว ยังไม่ต้องเลี้ยวไปไหนนะค้า..อิชั้นจะพาไปไหว้ "พระเหลือ" ต่อ
"พระเหลือ" นี้ ว่ากันว่าพระยาลิไททรงรับสั่งให้ช่างนำเศษทองสัมฤทธิ์ที่เหลือจากการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา มารวมกันหล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดเล็ก หน้าตักกว้าง 1 ศอกเศษ และพระสาวกยืนอีก 2 องค์ ส่วนอิฐที่ก่อเตาสำหรับหลอมทองในการหล่อพระพุทธรูป นำมารวมกันบนชุกชี (ฐานชุกชี) พร้อมกับปลูกต้นมหาโพธิ 3 ต้นลงบนชุกชี เรียกว่า โพธิ์สามเส้า ระหว่างต้นโพธิ์ได้สร้างวิหารน้อยขึ้นมา 1 หลัง อัญเชิญพระเหลือกับสาวกเข้าไปประดิษฐานอยู่ เรียกว่า วิหารพระเหลือ น่ะนะคะ
ที่อิชั้นพามาไหว้ "พระเหลือ" ด้วยนี้ก็เพราะมีความเชื่อกันอย่างแพร่หลายว่าจะช่วยส่งเสริมด้านโชคลาภจะได้มีทรัพย์สินเงินทอง เหลือกินเหลือใช้ไปตลอดกาล
ใครที่เคยมาแล้วพลาดโอกาสไหว้ท่าน ก็หาโอกาสแพ็คกระเป๋ากลับมาใหม่ซะโดยไวอ่ะนะคะ
...........
แปะไว้ก่อนค่ะ ขอนอนเอาแรงก่อน เดี๋ยวว่างจากงานแล้วจะมาพาเที่ยวต่อนะ
...........
แปะไว้ก่อนค่ะ ขอนอนเอาแรงก่อน เดี๋ยวว่างจากงานแล้วจะมาพาเที่ยวต่อนะ
(ขอบคุณข้อมูลจาก วิกิพีเดีย)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น